การทะเลาะกันของอวัยวะทั้ง 5





มีอยู่วันหนึ่ง อวัยวะทั้ง 5 ของคนๆ หนึ่ง เกิดทะเลาะกันขึ้น 

พูดกันคนละทีสองที ทะเลาะกันอย่างดุเดือด 

เริ่มแรกทั้งหมดต่างรุมกันว่า... "ตา"

"แกวันทั้งวันไม่เห็นทำอะไรเลย
แต่กลับมีโอกาสได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์อันงดงามทั้งหลาย ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ" 


จากนั้นก็หันมาโจมตี... "หู"  




"แกตลอดทั้งวันอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว
แต่กลับสามารถได้ยินเสียงอันไพเราะต่างๆ ทำไมพวกฉันถึงไม่มีโอกาสอย่างนี้บ้าง"


เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเป้าหมายหันมารุมว่า.. "ลิ้น"




"แกนะ นอกจากเวลานอนแล้ว ตลอดวันไม่ใช่กินก็คือดื่ม
ได้ลิ้มรสชาติอันโอชะประดามีในโลก แต่พวกฉัน
แม้เพียงสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้กิน"


ที่รู้สึกได้รับความยุติธรรมที่สุดคือ... "มือ" 




มือคิดว่าตัวเองต้องทำงานทั้งวัน มีผลงานมากที่สุด แต่กลับไม่มีโอกาสเสพสุขอะไรเลย 


แต่ทว่า..."ขาไม่เห็นด้วยกับมือ




ขาบอกว่า 

"ถ้าพูดจริงๆ แล้ว คุณูปการของฉันมากที่สุด ถ้าฉันไม่พาเดินไปยังที่ต่างๆ ละก็
มือก็ไม่เห็นจะสามารถทำงานอะไรได้มากมาย"
 

มือฟังคำพูดของขาแล้ว แม้ในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาพูดดี 




.....



ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ในที่สุดอดรนทนไม่ไหวคว้ามีดขึ้นมา 1 เล่ม 


เริ่มด้วยการควักลูกนัยน์ตาออกมาก่อน 





อะไรๆ ก็มองไม่เห็นแล้ว สมแค้นไปอย่าง 

จากนั้นก็เฉือนใบหูลงมา อะไรๆ ก็ไม่ได้ยินแล้ว 




พอเสร็จแล้วก็เฉือนลิ้นออกมาด้วย พูดไม่ได้แล้ว 




ท้ายสุดก็ตัดขาทิ้งไปด้วยแล้ว เดินก็ไม่ได้แล้ว 



ผลสุดท้าย เนื่องจากบาดแผลสาหัสเกินไป คนๆ นั้นจึงถึงแก่ความตาย 
แน่นอน... มือ ก็ย่อมไม่มีสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยลำพัง 





ท่านสาธุชนทั้งหลาย... 


คนทั่วไปในโลกเวลาได้รับความสุขสบาย ก็มักคิดว่าตนได้รับความสบายน้อยที่สุด 
แต่เวลาได้รับความลำบาก ก็มักคิดว่าตนได้รับความลำบากมากที่สุด 
และ ชอบเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกับตนอยู่ตลอดเวลา 

จริงๆสังคมในโลกไม่ว่าจะในครอบครัว ชุมชน บริษัท ร้านค้า 
ล้วนมีงานที่ต้องแบ่งหน้าที่กันทำทั้งสิ้น ถ้าทุกคนทำงานหน้าที่เดียวกันหมด 
สังคมนั้นก็คงอยู่ไม่ได้ งานทุกหน้าที่ล้วนมีความสำคัญ 

เหมือนรถยนต์ทั้งคัน มีอุปกรณ์เป็นหมื่นเป็นแสนชิ้นแค่ยางรั่ว เบรคแตก สตาร์ทเตอร์ไม่ทำงาน 
หรือจะเป็นชิ้นส่วนใดก็แล้วแต่ สะดุดติดขัดขึ้นมาสักชิ้น รถทั้งคนก็รวนไปหมด 

สังคมเราก็เช่นกัน งานทุกหน้าที่มีความสำคัญทั้งนั้น สะดุดติดขัดขึ้นมาสักอย่างก็รวนไปทั้งสังคม 
ทั้งองค์กรได้เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมานั่งเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วนึกน้อยอกน้อยใจ 

พ่อจะมาอิจฉาลูกว่าไม่ต้องรับผิดชอบก็ไม่ถูก ลูกอิจฉาพ่อว่ามีอำนาจตัดสินใจมากกว่าตนก็ไม่ถูก
ขอให้ทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีและมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน 

สังคมองค์กรของเราก็จะเจริญก้าวหน้าไปได้ด้วยดี 



0 ความคิดเห็น:

แม่ทัพกับหมากล้อม


            มีแม่ทัพคนหนึ่งนอกจากจะเป็นผู้ที่ชำนาญด้านการรบที่เก่งกาญแล้ว เขาเองยังเล่นหมากล้อมเก่งมากไม่ค่อยมีคนเล่นชนะได้      วันหนึ่ง  แม่ทัพได้นำกองทัพออกรบทางทิศเหนือของแคว้น  และได้ผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ระหว่างกำลังเคลื่อนทัพผ่านหมู่บ้านอยู่นั้น  สายตาของเขาก็ได้สะดุดบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า..  “เล่นหมากล้อมอันดับ 1 ของประเทศ” 

          แม่ทัพไม่เชื่อจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและเล่นด้วย   ปรากฎว่าเจ้าของบ้านแพ้ ทั้ง 3 กระดาน  แม่ทัพหัวเราะ “ฮา ฮา ฮา แกเอาป้ายลงได้แล้ว”  แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความดีใจ   ไม่นาน.. แม่ทัพรบชนะและกลับมาผ่านทางเดิม ก็ยังเห็นป้ายแขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม   แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและท้าดวลอีกครั้ง 
          แต่ครั้งนี้ปรากฎว่าแม่ทัพแพ้ทั้ง 3 กระดาน แม่ทัพประหลาดใจมากถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร
เจ้าของบ้านตอบว่า     “ครั้งก่อน ข้าเห็นว่าท่านมีภารกิจออกรบ   ข้าน้อยไม่อยากทำให้ท่านเสียกำลังใจ  ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้  แต่ครั้งนี้ท่านชนะกลับมา ข้าน้อยก็ไม่ต้องออมมือแล้ว”

ข้อคิด !...คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือ..ชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ มีใจกว้างขวางพอ    การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน    รู้ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่พูดใช่ว่าจะไม่รู้   ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่



ที่มา : 
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=949317785107592&set=gm.878107678893497&type=3&pnref=story

0 ความคิดเห็น:

อิฐขี้กลัว

อิฐขี้กลัว

ช่างทำอิฐคนหนึ่ง กำลังใส่อิฐลงไปในเตาเผาทีละก้อน อิฐก้อนหนึ่งเริ่ม
ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เมื่อคิดว่ากำลังจะถูกไฟที่ลุกโชนเผาไหม้เกรียม
ในไม่ช้า

“อย่ากลัวไปเลยน้องชาย”
อิฐก้อนอื่นๆ พากันปลอบมัน
“นั่นน่ะเป็นโอกาสที่หายากนะ เพราะการเผาไฟจะทำให้เราเป็นประโยชน์”

แต่อิฐขี้กลัวก้อนนั้นไม่ยอมเชื่อ มันพยายามหลบหลีกให้พ้นมือของช่าง
ทำอิฐ ในที่สุดก็เข้าไปแอบอยู่ในกองฟาง และสามารถหลบเลี่ยงการถูก
เผาได้สำเร็จ

ต่อมาอิฐก้อนนี้ได้พบกับบรรดาอิฐที่ถูกเผาไฟแล้วอีกครั้งหนึ่ง อิฐเหล่า
นั้นต่างรู้สึกเสียดายที่อิฐก้อนนั้นไม่ถูกเผาไฟ แต่อิฐก้อนนั้นก็ไม่สนใจ
มันเห็นว่าเพื่อนๆ ของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเลย ไม่เพียงแต่มีสี
น้ำตาลเข้มขึ้นกว่าเดิม แถมยังดูเข้มแข็งมากขึ้นด้วย

ในไม่ช้าคนงานก็มาขนอิฐทั้งหลายออกไป คนงานคนหนึ่งสังเกตเห็นอิฐ
ก้อนที่ไม่ได้ถูกเผาไฟอยู่ในกอง

“ข้าสงสัยว่ามันรอดจากการถูกเผาไฟไปได้ยังไง”
เขาพูดพลางถอนใจ แล้วหยิบมันขว้างทิ้งไป

อิฐที่ไม่ได้ถูกเผาไฟเริ่มเสียใจในการกระทำของมัน เมื่อเห็นเพื่อนของมัน
ถูกลำเลียงออกไปจากที่นั่นด้วยความร่าเริงเบิกบาน แล้วมันก็ถูกทอดทิ้ง
ให้อยู่โดดเดี่ยวเพียงก้อนเดียวที่นั่น และเมื่อลมพัดกระหน่ำและฝนตก
ลงมา มันก็ค่อยๆ เสียรูปร่างไป จนกลายเป็นเพียงโคลนตมในที่สุด

สภาวะที่กดดันและการต่อสู้กับอุปสรรคหลายๆ อย่างในชีวิต เป็นเพียง
แค่ขั้นตอน "เผาอิฐ" ของเราเท่านั้นเอง ถ้าเราสามารถผ่านมาได้แล้วจะ
ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น สามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างเข้มแข็งและน่า
ภูมิใจ และในที่สุดถ้าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็อาจจะรู้สึก
แค่ว่า "ลุยมาขนาดนี้ ไม่สำเร็จก็แปลกแล้ว"

จำไว้ว่า.."อุปสรรคที่ทานทน จะหลอมคนให้ทนทาน"

เรื่องดีๆ ของชีวิต "จงอย่ากลัวที่จะเผชิญกับสิ่งที่จะทำให้เราดีขึ้นในทุกๆด้านของชีวิต  จงอย่ากลัวหรือคิดนำ สิ่งที่เห็นว่าร้ายแรงในต้อนต้น อาจจะนำผลลัพธ์ที่ดีมาในตอนปลาย "

0 ความคิดเห็น:

นิทานเรื่องกับดักหนู

       หนูตัวหนึ่งแอบมองลอดรอยแตกของกำแพง เพื่อดูว่าชาวนากับภรรยาของเขาแกะห่ออะไร

"จะเป็นอาหารอะไรหนอ"
เจ้าหนูสงสัย


มันแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นคือ  

 กับดักหนู! 
มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนไปที่ทุ่งนา แล้วส่งเสียงร้องเตือน
“ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! ”



แม่ไก่ร้องกุ๊กๆ และคุ้ยเขี่ยไปมา มันผงกหัวขึ้นแล้วพูดว่า
"คุณหนู นี่คงเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเธอ แต่มันไม่มีผลอะไรกับฉันหรอกนะ อย่ากวนใจกันเลย"
เจ้าหนูวิ่งไปหาหมูและบอกแก่มัน
"มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน!"

หมูเห็นอกเห็นใจ แต่ก็พูดว่า

"ฉันขอโทษนะคุณหนู แต่ฉันคงทำได้แค่สวดมนต์เท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉันจะสวดมนต์ให้เธอด้วย"

เจ้าหนูวิ่งไปหาวัว และพูดว่า

"มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน!"

วัวตอบว่า

"โธ่! คุณหนู ฉันก็เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่ "

ดังนั้น เจ้าหนูจึงกลับเข้าบ้าน
นอนลงและเศร้าใจเหลือเกินที่จะต้องเผชิญหน้ากับกับดักหนูเพียงลำพังกลางดึกคืนนั้น
ปัง!!!

     เสียงๆ หนึ่งดังก้องไปทั้งบ้าน ฟังเหมือนเสียงกับดักหนูได้จับเหยื่อของมันแล้ว
ภรรยาของชาวนารีบรุดไปดูว่าอะไรที่ถูกจับในความมืดนั้นเธอไม่เห็นว่ามีงูพิษถูกกับดักนั้นหนีบหางเอาไว้งูกัดภรรยาของชาวนา ชาวนาจึงรีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาลตอนกลับบ้านเธอมีไข้สูง ใครๆ ก็รู้ว่าเราต้องพยาบาลคนป่วยด้วยซุปไก่ดังนั้นชาวนาจึงหยิบขวานเดินไปที่ทุ่งเพื่อฆ่าไก่มาทำซุปแต่อาการป่วยของภรรยาก็ยังไม่ดีขึ้นเพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านต่างมาเยี่ยมดูใจเพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขา ชาวนาจึงฆ่าหมูซะภรรยาของชาวนาก็ยังไม่หาย ในที่สุดเธอก็ตายลงผู้คนมากมายต่างมางานศพของเธอชาวนาจึงฆ่าวัวเพื่อให้ได้เนื้อมากพอมาเลี้ยงแขกเจ้าหนูมองลอดรอยแตกของกำแพงด้วยความเสียใจสุดแสน



   
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคราวหน้า หากคุณรู้ว่าใครสักคน กำลังเผชิญปัญหาและคิดว่าไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อยจำไว้นะว่า เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งถูกคุกคาม เราทุกคนต่างตกอยู่ในอันตราย!เพราะทุกคนล้วนเกี่ยวพันกันอยู่ในการเดินทางที่เรียกว่า ‘ชีวิต’เราต้องคอยเฝ้าดูแลกันและกัน และพยายามให้กำลังใจอีกคนเข้าไว้




Credit:
1.
http://nanployployzahotmailcom.blogspot.com/2012/01/blog-post_26.html?m=1
2.http://hilightad.kapook.com/img_cms2/varity/cavywithcarrot.jpg

0 ความคิดเห็น:

นาฬิกาที่หายไป


" นาฬิกาที่หายไป "

ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้าออกมา ก็พบว่านาฬิกาพกของตนได้หล่นหายไปเสียแล้ว! 

" นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขามากด้วย เป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ "

เขารีบวิ่งไปที่คอกม้า รื้อหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็หาไม่พบเขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงได้คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้ว หูตาฝ้าฟาง ทำให้หาไม่เจอ แต่เด็กๆหูตายังแหลมคม น่าจะหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆมา แล้วบอกว่า...เด็กๆ ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้เงินคนนั้นหนึ่งเหรียญ

เด็กๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข ตอนที่เด็กๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้าทีละคนต่างก็มีสีหน้าผิดหวัง ที่หานาฬิกาพกไม่เจอ ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง!

ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า...ผมจะลองเข้าไปหาดูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น

ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจ คิดในใจว่า...พวกเราแทบจะพลิกคอกม้าหายังไม่เจอ...แล้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร

เด็กคนนั้นเข้าไปตั้งนานก็ยังไม่กลับออกมา " ชาวนาเริ่มสิ้นหวัง " ในขณะที่ชาวนาคิดจะเลิกรอ และจากไปนั่นเอง! 

เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้า ในมือของเขาถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง 
ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า..."เจ้าหาเจอได้อย่างไร???" 

เด็กชายบอกว่า...
"พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไป...แล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้ "

" ขณะที่เรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตหรือหน้าที่การงานบางครั้ง ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำใจให้สงบ เพื่อมาคิดตรึกตรองดูว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นถูกต้องและเหมาะสมดีแล้วหรือเปล่า ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็ให้ออกจากความคิด แล้วมานั่งลงสักพัก...เพื่อฟังเสียงของหัวใจตัวเอง ^_^ "

0 ความคิดเห็น: