เต่ากับกระต่าย








กาลครั้งหนึ่ง มีเต่ากับกระต่ายอยู่ในป่าใหญ่ เจ้าเต่าเห็นกระต่ายกำลังหาแครอทกินในกลางป่าใหญ่ ก็เลยนึกอยากจะให้โอกาศเจ้ากระต่าย ได้วิ่งแข่งอีกครั้ง ก็เลยชวนกระต่ายว่า กระต่ายเอ่ยเรามาวิ่งแข่งกันไหม กระต่ายเลยบอกว่าได้เลยยย แต่เจ้ากระต่ายนึกในใจว่าครั้งนี้จะต้องชนะให้ได้อย่างแน่นอนเลยจะไม่ออมฝีมือให้เด็ดขาด พอถึงวันที่ต้องแข่งวิ่งกันเจ้ากระต่ายก็ไม่ประมาทได้วิ่ง อ้าวนำเจ้าเต่าฉลุ่ยไปไกล แต่เจ้าเต่านั้นฉลาดกว่าเลยใช้เส้นทางลัดผ่านตรงเข้าไปเส้นชัยได้อย่างง่ายๆ ทำให้เจ้ากระต่ายตกใจมาก ว่าทำไมเจ้าถึงเส้นชัยก่อนได้อย่างไรนิ กระต่ายก็เลยร้องไห้และเดินกลับบ้านไปด้วยความเสียใจแต่ไม่เสียดาย เพราะนึกขึ้นได้ว่าเราลืมใช้ความสามารถของตัวเองอีกอย่างคือ สติปัญญา ก็เลยแพ้ไป

สรุปข้อคิด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าดูคนแค่ภายนอกอย่างเดียวต้องดูให้ลึกถึงในใจของเขาด้วย อนุโมทนาบุญครับ

1 ความคิดเห็น:

ความจนของลูกเศรษฐี



อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน


ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า.

.ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

.อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

.เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า
ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน

คุณเห็นด้วยไหมว่า แว่นตาชีวิต นี่ช่างเป็นสิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด

ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา
เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา

ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก


จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้

Credit :http://www.kwamru.com/174#sthash.kNaPrPqp.dpuf
รูป: https://naturalnutrients.co.uk/wp-content/themes/theretailer/images/footer_bg.jpg

0 ความคิดเห็น:

อิฐสองก้อน


พระอาจารย์พรหม ท่านเล่าว่า... 

   ตอนที่ท่านเริ่มสร้างวัดจากที่ดินเปล่า ๆ ผืนหนึ่ง การก่อสร้างนั้นช่างยากเย็น แม้แต่การก่อกำแพงอิฐที่ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่โปะปูนลงไป แล้ววางก้อนอิฐ แตะด้านนี้ที ด้านนั้นที ให้เข้าที่ ก็น่าจะใช้ได้แล้ว 

แต่ความจริง...ตอนเริ่มก่ออิฐใหม่ ๆ แตะกดมุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่งก็กลับยกขึ้น พอกดด้านที่ยกให้ลงมา อิฐก็เริ่มแตกแนว พอดันกลับเข้าที่ มุมแรกก็สูงเกินไปอีก แต่ท่านก็อดทนก่อกำแพงอิฐนี้อย่างไม่สนใจว่าจะต้องใช้เวลายาวนานสักเท่าใด เพื่อจัดเรียงอิฐทุกก้อน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และถูกวางไว้โดยสมบูรณ์ที่สุด 

จนกระทั่ง...กำแพงอิฐแผงแรกสำเร็จลงด้วยดี ท่านก้าวถอยหลังออกมาเพื่อชื่นชมผลงานนั้น


แต่แล้ว... ก็กลับสังเกตเห็นว่า มีอิฐอยู่สองก้อน ที่ทำมุมเอียงกับแนวอิฐก้อนอื่น ๆ ทำให้กำแพงทั้งแถบมีตำหนิและดูไม่สวยงามเลย

แต่ถึงเวลานั้น ปูนก็แข็งเกินกว่าที่จะดึงอิฐสองก้อนนั้นมาเรียงใหม่ได้แล้ว พระอาจารย์พรหมท่านรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง 
ที่กำแพงมีความน่าเกลียด ไม่สวยงาม

จึงขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสทุบทิ้งเพื่อที่จะสร้างใหม่ แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาต

นับตั้งแต่นั้น เมื่อมีแขกมาเยี่ยมชมวัด พระอาจารย์พรหมก็มักจะพาผู้ที่มาเยี่ยมชม เดินเลี่ยงกำแพงแถบนั้น และดึงความสนใจไปที่ส่วนอื่น ๆ เสมอ ๆ

จนกระทั่ง ๓ เดือนต่อมา...มีผู้มาเยี่ยมชมวัดคนหนึ่ง เห็นกำแพงนั้นเข้า และเอ่ยกับท่านว่า "กำแพงนี้สวยดีนะครับ"


"คุณลืมแว่นสายตาไว้ในรถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามีอิฐ ๒ ก้อน ที่ก่อผิดพลาด จนกำแพงดูไม่ดี"

"ใช่ครับ ... ผมเห็นอิฐสองก้อนนั้น" ชายผู้นั้นตอบ
"แต่ผมก็เห็นด้วยว่า มีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อน ก่อไว้เป็นระเบียบสวยงามมาก"


พระอาจารย์พรหมถึงกับอึ้ง...

   เป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่ท่านสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ บนกำแพง ที่ผ่านมา นอกเหนือจากอิฐ ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา ตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่นทั้งหมด

...ทั้งที่จริง อิฐทุกก้อน ทุกตำแหน่ง นอกจากอิฐ ๒ ก้อนนั้น ล้วนก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนอิฐที่ดีก็มีมากกว่าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้นด้วย

ท่านอยากทลายกำแพงลง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด

...ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดีๆ จำนวนมากบนกำแพงนี้ กำแพงเดิมที่อยากทลายลงก็กลับงดงามขึ้นมาทันที

"ใช่...กำแพงนี้สวยดี"  พระอาจารย์พรหมหันไปเปรยกับชายผู้มาเยี่ยมชมคนนั้น

...นับแต่นั้น เมื่อท่านมีสายตาที่สามารถมองเห็นอิฐดีๆ ได้แล้ว กำแพงนี้ก็ไม่น่าเกลียดสำหรับท่านอีกต่อไป…


เช่นเดียวกัน เราทุกคนต่างก็มีอิฐ ๒ ก้อนนั้นอยู่ในตัวเองกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะดีไปทุกอย่าง หรือเลวร้ายไปทุกอย่าง


หากเราหันมามองผู้คนรอบข้างด้วยสายตาที่เมตตาต่อกัน

ไม่ให้เรื่องลบเพียงไม่กี่เรื่อง มาทำลายความสวยงามที่เคยมีต่อกันมา
ขัดแย้งกันอย่างไร ผิดพลาดอย่างไร น้อมรับไปปรับปรุง และให้อภัยต่อกัน
แม้กำแพงนั้นจะมีตำหนิอย่างไร...มันก็จะยังคงสวยงาม และคุ้มภัยให้กันและกันได้เสมอ

...เดี๋ยววัน เดี๋ยวคืน เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว จะได้อยู่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้น มันไม่ได้นานหรอก อิฐแค่ ๒ ก้อน ไม่ได้มีค่าควรแก่การนำมายึดถืออะไรในชีวิตเลย

" ความสุขในชีวิตก็คือ ... เราเลือกที่จะมองอะไร จะมองสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ไม่ดี หรือจะเลือกมองว่าอย่างน้อยมันก็ยังมีจุดที่ดีอยู่บ้าง เราเป็นทั้งหมดที่จะตัดสินตัวเองเพื่อก้าวต่อไปและสามารถมีความสุขกับชีวิตได้ ด้วยตัวของเราเอง "

Cr. พระอาจารย์พรหม วังโส เจ้าอาวาสวัดป่าโพธิญาณ ประเทศออสเตรเลีย เคยเล่าไว้ในหนังสือ "ชวนม่วนชื่น"

0 ความคิดเห็น:

ลูกโป่งคนละใบ




ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับลูกโป่งคนละใบ และถูกขอให้เขียนชื่อตัวเองลงบนลูกโป่ง แล้วเอาไปใส่ไว้ในอีกห้องจนเต็ม จากนั้นพิธีกรได้บอกให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา เข้าไปในห้องนั้นแล้วหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองนำกลับออกมา

ภายใน 5 นาที ห้องนั้นก็เหมือนเกิดจลาจล ทุกคนต่างรีบหาลูกโป่งของตัวเอง เหยียบลูกโป่งคนอื่น ทั้งดึง ทั้งดัน กระทบกระทั่ง ล้มลุกคลุกคลาน สุดท้ายไม่มีใครหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองอยู่เจอเลย

พิธีกรประกาศให้หยุด แล้วเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาประกาศให้ทุกคนค่อยๆ หยิบลูกโป่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วประกาศเรียกหาเจ้าของชื่อมารับลูกโป่งไป ภายใน 3 นาที ทุกคนได้ลูกโป่งที่มีชื่อของตัวเองครบทุกคน

ข้อคิดจากเรื่องนี้

พิธีกรสรุปให้ฟังว่า สังคมของเราเป็นอย่างนี้ ทุกคนต่างมุ่งหาความสุข (ลูกโป่ง) ของตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่น ไม่เอื้ออาทร ไม่แคร์แม้ต้องเหยียบย่ำความสุขของคนอื่น 

แต่เมื่อใดที่ทุกคนมอบความสุข (ลูกโป่ง) ให้กับเพื่อนร่วมสังคมก่อนทีละคน ทุกคนจะได้ความสุขเท่าๆ กัน ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว

0 ความคิดเห็น: