นิเทศรร. 10กค.61




นิเทศรร. 10กค.61



นิเทศรร. 18กค.61




นิเทศรร. 18กค.61




นิเทศรร. 19กค.61



นิเทศรร. 11กค.61






นิเทศรร. 16กค.61




นิเทศรร.17กค.61




นิเทศรร. 17กค.61




นิเทศรร. 17กค.61





นิเทศรร. 11กค.61






นิเทศรร. 11กค.61








นิเทศรร. 13กค.61



   นิเทศรร. 10กค.61




นิเทศรร. 17กค.61





นิเทศรร. 17กค.61





นิเทศรร. 17กค.61









กาลครั้งหนึ่ง มีเต่ากับกระต่ายอยู่ในป่าใหญ่ เจ้าเต่าเห็นกระต่ายกำลังหาแครอทกินในกลางป่าใหญ่ ก็เลยนึกอยากจะให้โอกาศเจ้ากระต่าย ได้วิ่งแข่งอีกครั้ง ก็เลยชวนกระต่ายว่า กระต่ายเอ่ยเรามาวิ่งแข่งกันไหม กระต่ายเลยบอกว่าได้เลยยย แต่เจ้ากระต่ายนึกในใจว่าครั้งนี้จะต้องชนะให้ได้อย่างแน่นอนเลยจะไม่ออมฝีมือให้เด็ดขาด พอถึงวันที่ต้องแข่งวิ่งกันเจ้ากระต่ายก็ไม่ประมาทได้วิ่ง อ้าวนำเจ้าเต่าฉลุ่ยไปไกล แต่เจ้าเต่านั้นฉลาดกว่าเลยใช้เส้นทางลัดผ่านตรงเข้าไปเส้นชัยได้อย่างง่ายๆ ทำให้เจ้ากระต่ายตกใจมาก ว่าทำไมเจ้าถึงเส้นชัยก่อนได้อย่างไรนิ กระต่ายก็เลยร้องไห้และเดินกลับบ้านไปด้วยความเสียใจแต่ไม่เสียดาย เพราะนึกขึ้นได้ว่าเราลืมใช้ความสามารถของตัวเองอีกอย่างคือ สติปัญญา ก็เลยแพ้ไป

สรุปข้อคิด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าดูคนแค่ภายนอกอย่างเดียวต้องดูให้ลึกถึงในใจของเขาด้วย อนุโมทนาบุญครับ



อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน


ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า.

.ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

.อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

.เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า
ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน

คุณเห็นด้วยไหมว่า แว่นตาชีวิต นี่ช่างเป็นสิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด

ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา
เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา

ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก


จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้

Credit :http://www.kwamru.com/174#sthash.kNaPrPqp.dpuf
รูป: https://naturalnutrients.co.uk/wp-content/themes/theretailer/images/footer_bg.jpg

พระอาจารย์พรหม ท่านเล่าว่า... 

   ตอนที่ท่านเริ่มสร้างวัดจากที่ดินเปล่า ๆ ผืนหนึ่ง การก่อสร้างนั้นช่างยากเย็น แม้แต่การก่อกำแพงอิฐที่ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่โปะปูนลงไป แล้ววางก้อนอิฐ แตะด้านนี้ที ด้านนั้นที ให้เข้าที่ ก็น่าจะใช้ได้แล้ว 

แต่ความจริง...ตอนเริ่มก่ออิฐใหม่ ๆ แตะกดมุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่งก็กลับยกขึ้น พอกดด้านที่ยกให้ลงมา อิฐก็เริ่มแตกแนว พอดันกลับเข้าที่ มุมแรกก็สูงเกินไปอีก แต่ท่านก็อดทนก่อกำแพงอิฐนี้อย่างไม่สนใจว่าจะต้องใช้เวลายาวนานสักเท่าใด เพื่อจัดเรียงอิฐทุกก้อน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และถูกวางไว้โดยสมบูรณ์ที่สุด 

จนกระทั่ง...กำแพงอิฐแผงแรกสำเร็จลงด้วยดี ท่านก้าวถอยหลังออกมาเพื่อชื่นชมผลงานนั้น


แต่แล้ว... ก็กลับสังเกตเห็นว่า มีอิฐอยู่สองก้อน ที่ทำมุมเอียงกับแนวอิฐก้อนอื่น ๆ ทำให้กำแพงทั้งแถบมีตำหนิและดูไม่สวยงามเลย

แต่ถึงเวลานั้น ปูนก็แข็งเกินกว่าที่จะดึงอิฐสองก้อนนั้นมาเรียงใหม่ได้แล้ว พระอาจารย์พรหมท่านรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง 
ที่กำแพงมีความน่าเกลียด ไม่สวยงาม

จึงขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสทุบทิ้งเพื่อที่จะสร้างใหม่ แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาต

นับตั้งแต่นั้น เมื่อมีแขกมาเยี่ยมชมวัด พระอาจารย์พรหมก็มักจะพาผู้ที่มาเยี่ยมชม เดินเลี่ยงกำแพงแถบนั้น และดึงความสนใจไปที่ส่วนอื่น ๆ เสมอ ๆ

จนกระทั่ง ๓ เดือนต่อมา...มีผู้มาเยี่ยมชมวัดคนหนึ่ง เห็นกำแพงนั้นเข้า และเอ่ยกับท่านว่า "กำแพงนี้สวยดีนะครับ"


"คุณลืมแว่นสายตาไว้ในรถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามีอิฐ ๒ ก้อน ที่ก่อผิดพลาด จนกำแพงดูไม่ดี"

"ใช่ครับ ... ผมเห็นอิฐสองก้อนนั้น" ชายผู้นั้นตอบ
"แต่ผมก็เห็นด้วยว่า มีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อน ก่อไว้เป็นระเบียบสวยงามมาก"


พระอาจารย์พรหมถึงกับอึ้ง...

   เป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่ท่านสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ บนกำแพง ที่ผ่านมา นอกเหนือจากอิฐ ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา ตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่นทั้งหมด

...ทั้งที่จริง อิฐทุกก้อน ทุกตำแหน่ง นอกจากอิฐ ๒ ก้อนนั้น ล้วนก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนอิฐที่ดีก็มีมากกว่าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้นด้วย

ท่านอยากทลายกำแพงลง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด

...ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดีๆ จำนวนมากบนกำแพงนี้ กำแพงเดิมที่อยากทลายลงก็กลับงดงามขึ้นมาทันที

"ใช่...กำแพงนี้สวยดี"  พระอาจารย์พรหมหันไปเปรยกับชายผู้มาเยี่ยมชมคนนั้น

...นับแต่นั้น เมื่อท่านมีสายตาที่สามารถมองเห็นอิฐดีๆ ได้แล้ว กำแพงนี้ก็ไม่น่าเกลียดสำหรับท่านอีกต่อไป…


เช่นเดียวกัน เราทุกคนต่างก็มีอิฐ ๒ ก้อนนั้นอยู่ในตัวเองกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะดีไปทุกอย่าง หรือเลวร้ายไปทุกอย่าง


หากเราหันมามองผู้คนรอบข้างด้วยสายตาที่เมตตาต่อกัน

ไม่ให้เรื่องลบเพียงไม่กี่เรื่อง มาทำลายความสวยงามที่เคยมีต่อกันมา
ขัดแย้งกันอย่างไร ผิดพลาดอย่างไร น้อมรับไปปรับปรุง และให้อภัยต่อกัน
แม้กำแพงนั้นจะมีตำหนิอย่างไร...มันก็จะยังคงสวยงาม และคุ้มภัยให้กันและกันได้เสมอ

...เดี๋ยววัน เดี๋ยวคืน เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว จะได้อยู่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้น มันไม่ได้นานหรอก อิฐแค่ ๒ ก้อน ไม่ได้มีค่าควรแก่การนำมายึดถืออะไรในชีวิตเลย

" ความสุขในชีวิตก็คือ ... เราเลือกที่จะมองอะไร จะมองสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ไม่ดี หรือจะเลือกมองว่าอย่างน้อยมันก็ยังมีจุดที่ดีอยู่บ้าง เราเป็นทั้งหมดที่จะตัดสินตัวเองเพื่อก้าวต่อไปและสามารถมีความสุขกับชีวิตได้ ด้วยตัวของเราเอง "

Cr. พระอาจารย์พรหม วังโส เจ้าอาวาสวัดป่าโพธิญาณ ประเทศออสเตรเลีย เคยเล่าไว้ในหนังสือ "ชวนม่วนชื่น"



ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับลูกโป่งคนละใบ และถูกขอให้เขียนชื่อตัวเองลงบนลูกโป่ง แล้วเอาไปใส่ไว้ในอีกห้องจนเต็ม จากนั้นพิธีกรได้บอกให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา เข้าไปในห้องนั้นแล้วหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองนำกลับออกมา

ภายใน 5 นาที ห้องนั้นก็เหมือนเกิดจลาจล ทุกคนต่างรีบหาลูกโป่งของตัวเอง เหยียบลูกโป่งคนอื่น ทั้งดึง ทั้งดัน กระทบกระทั่ง ล้มลุกคลุกคลาน สุดท้ายไม่มีใครหาลูกโป่งที่มีชื่อตัวเองอยู่เจอเลย

พิธีกรประกาศให้หยุด แล้วเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาประกาศให้ทุกคนค่อยๆ หยิบลูกโป่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วประกาศเรียกหาเจ้าของชื่อมารับลูกโป่งไป ภายใน 3 นาที ทุกคนได้ลูกโป่งที่มีชื่อของตัวเองครบทุกคน

ข้อคิดจากเรื่องนี้

พิธีกรสรุปให้ฟังว่า สังคมของเราเป็นอย่างนี้ ทุกคนต่างมุ่งหาความสุข (ลูกโป่ง) ของตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่น ไม่เอื้ออาทร ไม่แคร์แม้ต้องเหยียบย่ำความสุขของคนอื่น 

แต่เมื่อใดที่ทุกคนมอบความสุข (ลูกโป่ง) ให้กับเพื่อนร่วมสังคมก่อนทีละคน ทุกคนจะได้ความสุขเท่าๆ กัน ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว




มีอยู่วันหนึ่ง อวัยวะทั้ง 5 ของคนๆ หนึ่ง เกิดทะเลาะกันขึ้น 

พูดกันคนละทีสองที ทะเลาะกันอย่างดุเดือด 

เริ่มแรกทั้งหมดต่างรุมกันว่า... "ตา"

"แกวันทั้งวันไม่เห็นทำอะไรเลย
แต่กลับมีโอกาสได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์อันงดงามทั้งหลาย ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ" 


จากนั้นก็หันมาโจมตี... "หู"  




"แกตลอดทั้งวันอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว
แต่กลับสามารถได้ยินเสียงอันไพเราะต่างๆ ทำไมพวกฉันถึงไม่มีโอกาสอย่างนี้บ้าง"


เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเป้าหมายหันมารุมว่า.. "ลิ้น"




"แกนะ นอกจากเวลานอนแล้ว ตลอดวันไม่ใช่กินก็คือดื่ม
ได้ลิ้มรสชาติอันโอชะประดามีในโลก แต่พวกฉัน
แม้เพียงสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้กิน"


ที่รู้สึกได้รับความยุติธรรมที่สุดคือ... "มือ" 




มือคิดว่าตัวเองต้องทำงานทั้งวัน มีผลงานมากที่สุด แต่กลับไม่มีโอกาสเสพสุขอะไรเลย 


แต่ทว่า..."ขาไม่เห็นด้วยกับมือ




ขาบอกว่า 

"ถ้าพูดจริงๆ แล้ว คุณูปการของฉันมากที่สุด ถ้าฉันไม่พาเดินไปยังที่ต่างๆ ละก็
มือก็ไม่เห็นจะสามารถทำงานอะไรได้มากมาย"
 

มือฟังคำพูดของขาแล้ว แม้ในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาพูดดี 




.....



ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ในที่สุดอดรนทนไม่ไหวคว้ามีดขึ้นมา 1 เล่ม 


เริ่มด้วยการควักลูกนัยน์ตาออกมาก่อน 





อะไรๆ ก็มองไม่เห็นแล้ว สมแค้นไปอย่าง 

จากนั้นก็เฉือนใบหูลงมา อะไรๆ ก็ไม่ได้ยินแล้ว 




พอเสร็จแล้วก็เฉือนลิ้นออกมาด้วย พูดไม่ได้แล้ว 




ท้ายสุดก็ตัดขาทิ้งไปด้วยแล้ว เดินก็ไม่ได้แล้ว 



ผลสุดท้าย เนื่องจากบาดแผลสาหัสเกินไป คนๆ นั้นจึงถึงแก่ความตาย 
แน่นอน... มือ ก็ย่อมไม่มีสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยลำพัง 





ท่านสาธุชนทั้งหลาย... 


คนทั่วไปในโลกเวลาได้รับความสุขสบาย ก็มักคิดว่าตนได้รับความสบายน้อยที่สุด 
แต่เวลาได้รับความลำบาก ก็มักคิดว่าตนได้รับความลำบากมากที่สุด 
และ ชอบเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกับตนอยู่ตลอดเวลา 

จริงๆสังคมในโลกไม่ว่าจะในครอบครัว ชุมชน บริษัท ร้านค้า 
ล้วนมีงานที่ต้องแบ่งหน้าที่กันทำทั้งสิ้น ถ้าทุกคนทำงานหน้าที่เดียวกันหมด 
สังคมนั้นก็คงอยู่ไม่ได้ งานทุกหน้าที่ล้วนมีความสำคัญ 

เหมือนรถยนต์ทั้งคัน มีอุปกรณ์เป็นหมื่นเป็นแสนชิ้นแค่ยางรั่ว เบรคแตก สตาร์ทเตอร์ไม่ทำงาน 
หรือจะเป็นชิ้นส่วนใดก็แล้วแต่ สะดุดติดขัดขึ้นมาสักชิ้น รถทั้งคนก็รวนไปหมด 

สังคมเราก็เช่นกัน งานทุกหน้าที่มีความสำคัญทั้งนั้น สะดุดติดขัดขึ้นมาสักอย่างก็รวนไปทั้งสังคม 
ทั้งองค์กรได้เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมานั่งเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วนึกน้อยอกน้อยใจ 

พ่อจะมาอิจฉาลูกว่าไม่ต้องรับผิดชอบก็ไม่ถูก ลูกอิจฉาพ่อว่ามีอำนาจตัดสินใจมากกว่าตนก็ไม่ถูก
ขอให้ทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีและมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน 

สังคมองค์กรของเราก็จะเจริญก้าวหน้าไปได้ด้วยดี 




            มีแม่ทัพคนหนึ่งนอกจากจะเป็นผู้ที่ชำนาญด้านการรบที่เก่งกาญแล้ว เขาเองยังเล่นหมากล้อมเก่งมากไม่ค่อยมีคนเล่นชนะได้      วันหนึ่ง  แม่ทัพได้นำกองทัพออกรบทางทิศเหนือของแคว้น  และได้ผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ระหว่างกำลังเคลื่อนทัพผ่านหมู่บ้านอยู่นั้น  สายตาของเขาก็ได้สะดุดบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า..  “เล่นหมากล้อมอันดับ 1 ของประเทศ” 

          แม่ทัพไม่เชื่อจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและเล่นด้วย   ปรากฎว่าเจ้าของบ้านแพ้ ทั้ง 3 กระดาน  แม่ทัพหัวเราะ “ฮา ฮา ฮา แกเอาป้ายลงได้แล้ว”  แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความดีใจ   ไม่นาน.. แม่ทัพรบชนะและกลับมาผ่านทางเดิม ก็ยังเห็นป้ายแขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม   แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและท้าดวลอีกครั้ง 
          แต่ครั้งนี้ปรากฎว่าแม่ทัพแพ้ทั้ง 3 กระดาน แม่ทัพประหลาดใจมากถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร
เจ้าของบ้านตอบว่า     “ครั้งก่อน ข้าเห็นว่าท่านมีภารกิจออกรบ   ข้าน้อยไม่อยากทำให้ท่านเสียกำลังใจ  ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้  แต่ครั้งนี้ท่านชนะกลับมา ข้าน้อยก็ไม่ต้องออมมือแล้ว”

ข้อคิด !...คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือ..ชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ มีใจกว้างขวางพอ    การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน    รู้ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่พูดใช่ว่าจะไม่รู้   ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่



ที่มา : 
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=949317785107592&set=gm.878107678893497&type=3&pnref=story

อิฐขี้กลัว

ช่างทำอิฐคนหนึ่ง กำลังใส่อิฐลงไปในเตาเผาทีละก้อน อิฐก้อนหนึ่งเริ่ม
ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เมื่อคิดว่ากำลังจะถูกไฟที่ลุกโชนเผาไหม้เกรียม
ในไม่ช้า

“อย่ากลัวไปเลยน้องชาย”
อิฐก้อนอื่นๆ พากันปลอบมัน
“นั่นน่ะเป็นโอกาสที่หายากนะ เพราะการเผาไฟจะทำให้เราเป็นประโยชน์”

แต่อิฐขี้กลัวก้อนนั้นไม่ยอมเชื่อ มันพยายามหลบหลีกให้พ้นมือของช่าง
ทำอิฐ ในที่สุดก็เข้าไปแอบอยู่ในกองฟาง และสามารถหลบเลี่ยงการถูก
เผาได้สำเร็จ

ต่อมาอิฐก้อนนี้ได้พบกับบรรดาอิฐที่ถูกเผาไฟแล้วอีกครั้งหนึ่ง อิฐเหล่า
นั้นต่างรู้สึกเสียดายที่อิฐก้อนนั้นไม่ถูกเผาไฟ แต่อิฐก้อนนั้นก็ไม่สนใจ
มันเห็นว่าเพื่อนๆ ของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเลย ไม่เพียงแต่มีสี
น้ำตาลเข้มขึ้นกว่าเดิม แถมยังดูเข้มแข็งมากขึ้นด้วย

ในไม่ช้าคนงานก็มาขนอิฐทั้งหลายออกไป คนงานคนหนึ่งสังเกตเห็นอิฐ
ก้อนที่ไม่ได้ถูกเผาไฟอยู่ในกอง

“ข้าสงสัยว่ามันรอดจากการถูกเผาไฟไปได้ยังไง”
เขาพูดพลางถอนใจ แล้วหยิบมันขว้างทิ้งไป

อิฐที่ไม่ได้ถูกเผาไฟเริ่มเสียใจในการกระทำของมัน เมื่อเห็นเพื่อนของมัน
ถูกลำเลียงออกไปจากที่นั่นด้วยความร่าเริงเบิกบาน แล้วมันก็ถูกทอดทิ้ง
ให้อยู่โดดเดี่ยวเพียงก้อนเดียวที่นั่น และเมื่อลมพัดกระหน่ำและฝนตก
ลงมา มันก็ค่อยๆ เสียรูปร่างไป จนกลายเป็นเพียงโคลนตมในที่สุด

สภาวะที่กดดันและการต่อสู้กับอุปสรรคหลายๆ อย่างในชีวิต เป็นเพียง
แค่ขั้นตอน "เผาอิฐ" ของเราเท่านั้นเอง ถ้าเราสามารถผ่านมาได้แล้วจะ
ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น สามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างเข้มแข็งและน่า
ภูมิใจ และในที่สุดถ้าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต เราก็อาจจะรู้สึก
แค่ว่า "ลุยมาขนาดนี้ ไม่สำเร็จก็แปลกแล้ว"

จำไว้ว่า.."อุปสรรคที่ทานทน จะหลอมคนให้ทนทาน"

เรื่องดีๆ ของชีวิต "จงอย่ากลัวที่จะเผชิญกับสิ่งที่จะทำให้เราดีขึ้นในทุกๆด้านของชีวิต  จงอย่ากลัวหรือคิดนำ สิ่งที่เห็นว่าร้ายแรงในต้อนต้น อาจจะนำผลลัพธ์ที่ดีมาในตอนปลาย "

       หนูตัวหนึ่งแอบมองลอดรอยแตกของกำแพง เพื่อดูว่าชาวนากับภรรยาของเขาแกะห่ออะไร

"จะเป็นอาหารอะไรหนอ"
เจ้าหนูสงสัย


มันแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นคือ  

 กับดักหนู! 
มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนไปที่ทุ่งนา แล้วส่งเสียงร้องเตือน
“ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! ”



แม่ไก่ร้องกุ๊กๆ และคุ้ยเขี่ยไปมา มันผงกหัวขึ้นแล้วพูดว่า
"คุณหนู นี่คงเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเธอ แต่มันไม่มีผลอะไรกับฉันหรอกนะ อย่ากวนใจกันเลย"
เจ้าหนูวิ่งไปหาหมูและบอกแก่มัน
"มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน!"

หมูเห็นอกเห็นใจ แต่ก็พูดว่า

"ฉันขอโทษนะคุณหนู แต่ฉันคงทำได้แค่สวดมนต์เท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉันจะสวดมนต์ให้เธอด้วย"

เจ้าหนูวิ่งไปหาวัว และพูดว่า

"มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน!"

วัวตอบว่า

"โธ่! คุณหนู ฉันก็เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่ "

ดังนั้น เจ้าหนูจึงกลับเข้าบ้าน
นอนลงและเศร้าใจเหลือเกินที่จะต้องเผชิญหน้ากับกับดักหนูเพียงลำพังกลางดึกคืนนั้น
ปัง!!!

     เสียงๆ หนึ่งดังก้องไปทั้งบ้าน ฟังเหมือนเสียงกับดักหนูได้จับเหยื่อของมันแล้ว
ภรรยาของชาวนารีบรุดไปดูว่าอะไรที่ถูกจับในความมืดนั้นเธอไม่เห็นว่ามีงูพิษถูกกับดักนั้นหนีบหางเอาไว้งูกัดภรรยาของชาวนา ชาวนาจึงรีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาลตอนกลับบ้านเธอมีไข้สูง ใครๆ ก็รู้ว่าเราต้องพยาบาลคนป่วยด้วยซุปไก่ดังนั้นชาวนาจึงหยิบขวานเดินไปที่ทุ่งเพื่อฆ่าไก่มาทำซุปแต่อาการป่วยของภรรยาก็ยังไม่ดีขึ้นเพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านต่างมาเยี่ยมดูใจเพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขา ชาวนาจึงฆ่าหมูซะภรรยาของชาวนาก็ยังไม่หาย ในที่สุดเธอก็ตายลงผู้คนมากมายต่างมางานศพของเธอชาวนาจึงฆ่าวัวเพื่อให้ได้เนื้อมากพอมาเลี้ยงแขกเจ้าหนูมองลอดรอยแตกของกำแพงด้วยความเสียใจสุดแสน



   
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคราวหน้า หากคุณรู้ว่าใครสักคน กำลังเผชิญปัญหาและคิดว่าไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อยจำไว้นะว่า เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งถูกคุกคาม เราทุกคนต่างตกอยู่ในอันตราย!เพราะทุกคนล้วนเกี่ยวพันกันอยู่ในการเดินทางที่เรียกว่า ‘ชีวิต’เราต้องคอยเฝ้าดูแลกันและกัน และพยายามให้กำลังใจอีกคนเข้าไว้




Credit:
1.
http://nanployployzahotmailcom.blogspot.com/2012/01/blog-post_26.html?m=1
2.http://hilightad.kapook.com/img_cms2/varity/cavywithcarrot.jpg

" นาฬิกาที่หายไป "

ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้าออกมา ก็พบว่านาฬิกาพกของตนได้หล่นหายไปเสียแล้ว! 

" นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขามากด้วย เป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ "

เขารีบวิ่งไปที่คอกม้า รื้อหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็หาไม่พบเขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงได้คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้ว หูตาฝ้าฟาง ทำให้หาไม่เจอ แต่เด็กๆหูตายังแหลมคม น่าจะหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆมา แล้วบอกว่า...เด็กๆ ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้เงินคนนั้นหนึ่งเหรียญ

เด็กๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข ตอนที่เด็กๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้าทีละคนต่างก็มีสีหน้าผิดหวัง ที่หานาฬิกาพกไม่เจอ ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง!

ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า...ผมจะลองเข้าไปหาดูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น

ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจ คิดในใจว่า...พวกเราแทบจะพลิกคอกม้าหายังไม่เจอ...แล้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร

เด็กคนนั้นเข้าไปตั้งนานก็ยังไม่กลับออกมา " ชาวนาเริ่มสิ้นหวัง " ในขณะที่ชาวนาคิดจะเลิกรอ และจากไปนั่นเอง! 

เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้า ในมือของเขาถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง 
ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า..."เจ้าหาเจอได้อย่างไร???" 

เด็กชายบอกว่า...
"พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไป...แล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้ "

" ขณะที่เรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตหรือหน้าที่การงานบางครั้ง ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำใจให้สงบ เพื่อมาคิดตรึกตรองดูว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นถูกต้องและเหมาะสมดีแล้วหรือเปล่า ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็ให้ออกจากความคิด แล้วมานั่งลงสักพัก...เพื่อฟังเสียงของหัวใจตัวเอง ^_^ "